ศัลยกรรมลดโหนกแก้ม

การทำศัลยกรรมลดโหนกแก้มคืออะไร

การทำศัลยกรรมลดโหนกแก้มช่วยลดขนาดของกระดูกโหนกแก้มและทำให้หน้าตาของผู้ทำศัลยกรรมดูอ่อนโยนลง ศัลยแพทย์เข้าใจโครงสร้างใบหน้าของคนไข้แต่ละคนอย่างลึกซึ้ง และทำการศัลยกรรมตรงตามที่คนไข้ต้องการ

รอยแผล

การทำศัลยกรรมลดโหนกแก้มโดยทั่วไปจะทำการผ่ากรีดด้านในช่องปากซึ่งจะไม่หลงเหลือรอยแผลเป็นให้เห็น อย่างไรก็ตามในกรณีของผู้ที่มี ‘ส่วนยื่นจดกระดูกโหนกแก้ม’ (zygomatic arch) ขนาดใหญ่ แพทย์จะไม่สามารถตัดแต่งกระดูกบริเวณนี้ได้ ในบางกรณีรอยผ่ากรีดในช่องปากอาจส่งผลให้ใบหน้าเกิดความหย่อนคล้อย การทำศัลยกรรมยกกระชับใบหน้าเพื่อดึงเนื้อเยื่ออ่อนบนใบหน้าให้ตึงมักจะถูกทำควบคู่กันไปด้วย

สัดส่วนใบหน้า

ปัญหาโหนกแก้มสามารถแบ่งได้ 5 แบบดังนี้

  • โหนกแก้มมีลักษณะสูงและยื่นออกไปด้านหน้า
  • โหนกแก้มมีลักษณะสูงและยื่นออกไปด้านข้าง
  • โหนกแก้มมีลักษณะยื่นออกมาทางด้านข้างของแก้ม
  • โหนกแก้มมีลักษณะสูงและใหญ่คลุมพื้นที่ทั้งด้านกว้าง ด้านหน้าและข้าง
  • โหนกแก้มมีลักษณะสูงและแหลม แต่ฐานไม่กว้าง

ผู้ที่เหมาะกับการทำศัลยกรรมลดโหนกแก้ม

  • ผู้ที่ต้องการแก้ไขหน้าแบนเนื่องจากขนาดโหนกแก้มที่มีขนาดกว้างมาก
  • ผู้ที่อยากแก้ไขความยื่นของโหนกแก้มเพื่อให้ใบหน้าดูอ่อนโยนลง
  • ผู้ที่ต้องการแก้ไขรอยบุ๋มของแก้มหรือขมับเนื่องมาจากโหนกแก้มที่มีความยื่นมาก
  • ผู้ที่ต้องการแก้ไขใบหน้าที่ไม่เรียบเนียนและลดขนาดโหนกแก้ม

ข้อควรระวังก่อนการทำศัลยกรรมลดโหนกแก้ม

  • ควรคำนึงถึงความเป็นธรรมชาติมากที่สุด โหนกแก้มเป็นส่วนที่สร้างจุดกึ่งกลางให้กับใบหน้า ทำให้ดูมีมิติและมีความโค้งเว้าสวยงาม หากเส้นโค้งเว้าเหล่านี้หายไปจากการทำศัลยกรรมใบหน้าจะดูไม่ธรรมชาติทันที ดังนั้นเมื่อมีการเหลาหรือตัดโหนกแก้ม ความสวยงามของเส้นโค้งเว้าบนใบหน้าจึงเป็นสิ่งที่ควรให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ กระดูกส่วนที่มีลักษณะเป็นเส้นตรงเท่านั้นที่ควรถูกตัดออก นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมศัลยแพทย์จึงต้องมีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมากรวมทั้งมีเซ้นส์ทางด้านศิลปะด้วย
  • อาจมีความหย่อนคล้อยของใบหน้าเกิดขึ้นได้ สำหรับคนไข้ในช่วงอายุ 20 ความหย่อนคล้อยของใบหน้าหลังการศัลยกรรมอาจไม่ใช่ปัญหาเท่าไร แต่สำหรับคนที่อายุ 30-40 ปีขึ้นไป การผ่ากรีดในช่องปากอาจส่งผลให้แก้มเกิดความหย่อนคล้อย การผ่ากรีดบริเวณหนังศีรษะหรือการทำศัลยกรรมดึงหน้าควบคู่ไปกับการทำศัลยกรรมลดโหนกแก้มสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้
  • รอยแผลเป็นหลังการทำศัลยกรรมเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึงเช่นกัน คนไข้อาจใช้วิธีการผ่ากรีดบริเวณหนังศีรษะแทน เพื่อป้องกันการหย่อนคล้อยของใบหน้า แต่การผ่ากรีดวิธีนี้ทำให้เกิดรอยแผลเป็นยาว ฉะนั้นการผ่ากรีดในช่องปากควบคู่ไปกับการทำศัลยกรรมดึงหน้าด้วยวิธีส่องกล้องนับว่าเป็นทางออกในการป้องกันความหย่อนคล้อยได้ดีที่สุด แต่ถ้าหากคนไข้จำเป็นต้องใช้วิธีการผ่ากรีดบนหนังศีรษะ ศัลยแพทย์เฉพาะทางที่มีความรู้และประสบการณ์ควรเป็นผู้ทำการผ่าตัดเพื่อช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผมและลดจำนวนรอยแผลเป็นที่จะเกิดขึ้น
  • การป้องกันความไม่สมมาตรและไม่สมดุล การทำศัลยกรรมลดโหนกแก้มอาจทำให้ใบหน้าเกิดความไม่สมมาตรและมีรูปทรงที่ไม่เป็นธรรมชาติหากการออกแบบวิธีการตัดกระดูกมีข้อผิดพลาด จุดที่กระดูกถูกตัดอาจกลายเป็นรอยบุ๋มทำให้ส่วนโค้งเว้าที่สร้างความเป็นธรรมชาติให้ใบหน้าหายไป ดังนั้นการผ่าตัดแก้ไขกะโหลกศีรษะหรือใบหน้าจะต้องถูกทำโดยศัลยแพทย์เฉพาะทางที่มีความรู้ความชำนาญและประสบการณ์ในด้านนั้นจริง ๆ
  • ผลเสียที่ตามมาเช่นอาการเส้นประสาทบนใบหน้าเป็นอัมพาตหรือการเกิดรอยบุ๋มบริเวณขมับจะต้องไม่เกิดขึ้น ผลเสียหลังการทำศัลยกรรมเหล่านี้เป็นภาวะแทรกซ้อนจากการผ่ากรีดหนังศีรษะ ความเสี่ยงดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นหากการศัลยกรรมถูกทำโดยศัลยแพทย์เฉพาะทางที่มีความชำนาญ

การดูแลหลังจากการผ่าตัด

  • พักฟื้นที่สถานพยาบาลอย่างน้อย 1 คืน ภายใต้การดูแลของศัลยแพทย์
  • หลังทำควรใส่การ์เม้นท์รอบกรอบหน้า อย่างน้อย 7 วัน (หากไม่สะดวกให้ใส่การ์เม้นเฉพาะก่อนนอน) เพื่อช่วยพยุง และ ป้องกันแผลผ่าตัด ระวัง-อย่านอนทับบริเวณที่ผ่าตัด
  • ทานอาหารอ่อนๆ เคี้ยวง่าย เนื่องจากอาจจะยังมีอาการชาของริมฝีปากอยู่
  • หลังทำในช่วง 3 วันแรก เมื่อทานอาหารเสร็จ ควรทำความสะอาดโดยการบ้วนปากด้วยน้ำเกลือทุกครั้ง
  • หลังทำในช่วงวันที่ 4 เมื่อทานอาหารเสร็จสามารถบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากได้แต่ต้องผสมนำให้เจือจาง หรือ สามารถแปรงฟันได้โดยที่ไม่รุนแรงจนเกินไป
  • ทำความสะอาดบาดแผลอย่างสม่ำเสมอ โดยศัลยแพทย์จะตัดไหมประมาณ 5 – 7 วันหลังผ่าตัด
  • ควรนอนพักฟื้นอย่างน้อย 5 – 7 วัน
  • ทานยาให้ครบตามใบสั่งแพทย์ เนื่องจากอาจจะมีอาการหน้าบวมและชา ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปภายใน 1 – 2 อาทิตย์ แต่หากต้องการให้อาการบวม-ช้ำลดลงเร็วยิ่งขึ้น ตัวช่วยที่เป็นประโยชน์เพื่อการลดบวมสำหรับการทำศัลยกรรมบนใบหน้านั้น คือ การทาน “ซุปฟักทอง”
  • ภายใน 3 เดือน ใบหน้าจะค่อยๆยุบลงเรื่อยๆ จนเข้าที่ มีโครงสร้างใบหน้าที่สมส่วนยิ่งขึ้น
  • ประคบเย็นประมาณ 1 – 2 วัน เพื่อลดอาการบวมและเขียวช้ำบริเวณแผลผ่าตัด
  • นอนหงาย ยกศีรษะให้อยู่สูงกว่าลำตัวประมาณ 2 – 3 วันเพื่อป้องกันอาการบวมที่อาจจะเกิดขึ้นได้ภายหลังการผ่าตัด
  • อย่านอนทับบริเวณที่ทำการผ่าตัด ประมาณ 1 เดือน

งดออกกำลังกายหนักๆ เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์

คำถามที่พบบ่อย ในการศัลยกรรมผ่าตัดยุบโหนกแก้ม

Q: หลังผ่าตัดยุบโหนกแล้วแล้ว เมื่อผ่านไปผิวบริเวณแก้มจะห้อย หย่อนคล้อยได้ง่ายกว่าปกติหรือไม่

ตอบ ด้วยวิธีการผ่าตัดที่ได้มาตรฐานโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของโรงพยาบาล WIH จะไม่ทำให้เกิดผิวบริเวณแก้ม หย่อนคล้อยหลังการผ่าตัด

Q: กี่วันใบหน้าถึงจะเข้าที่เป็นปกติ

ตอบ ประมาณ 1-3 เดือน

Q: หลังผ่าตัดกี่วันถึงจะรับประทานอาหารได้ปกติ

ตอบ 1 วัน

Q: หลังผ่าตัดสามารถแต่งหน้าได้เลยหรือไม่ หรือต้องรอหลังผ่าตัดกี่วัน

ตอบ หลังการผ่าตัด 1 วันสามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ

Q: สามารถออกกำลังกายได้หรือไม่ หรือต้องรอหลังการผ่าตัดกี่วัน

ตอบ สามารถออกกำลังกายได้หลังการผ่าตัดประมาณ 2 สัปดาห์

Q: สามารถผ่าตัดร่วมกับผ่าตัดลดกรามได้หรือไม่

ตอบ การผ่าตัดยุบโหนกแก้มสามารถทำพร้อมกับการผ่าตัดลดกรามได้เลย

Q: แผลผ่าตัดอยู่ตรงไหน มีแผลภายนอกหรือไม่

ตอบ การผ่าตัดทั้งหมดเกิดขึ้นในช่องปากค่ะ มีแผลบริเวณไรผมประมาณครึ่งเซนฯ เพื่อเหลากระดูกโหนกด้านข้าง แต่รอยแผลเล็กมาก ซ่อนในไรผม เมื่อตัดไหมแล้ว แทบมองไม่เห็นร่องรอยแผลเลยค่ะ

Q: หลังผ่าตัดนอนพักฟื้นกี่วัน บวมกี่วัน

ตอบ  หลังผ่าตัดนอนรพ. 1-2 คืน ทั้งนี้ขึ้นอย่กับอาการและรายการศัลยกรรมกรณีทำโหนกด้วยจะนัดตัดไหม เมื่อครบ 7 วันหลังการผ่าตัด ส่วนอื่นๆจะเป็นไหมละลายในปาก จะหลุดเองใระยะเวลา 2 เดือน หรือถ้ารู้สึกไม่สบายในปาก ก็สามารถตัดออกได้เมื่อครบ 12-14 วันค่ะใบหน้าจะบวมมากสุดในช่วง 3-5 วันหลังการผ่าตัดแนะนำลางาน 1 สัปดาห์เพื่อพักฟื้นให้ใบหน้าลดบวม