การส่องกล้องกระเพาะอาหาร
การส่องกล้องลำไส้ใหญ่

การส่องกล้องกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่ เป็นการตรวจที่ใช้ในการวินิจฉัยโรคต่างๆ ในระบบทางเดินอาหารส่วนบนและส่วนล่าง โดยการใส่กล้องเข้าไปในร่างกายผ่านปากหรือทวารหนักเพื่อตรวจดูผนังภายในอวัยวะต่างๆ

ขั้นตอนการส่องกล้องกระเพาะอาหาร จะใช้กล้องเฉพาะสำหรับตรวจกระเพาะอาหาร (Gastroscope) สอดผ่านเข้าไปในปาก ผ่านหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้น แพทย์จะทำการบันทึกภาพภายในอวัยวะเหล่านี้เพื่อตรวจหาความผิดปกติต่างๆ เช่น แผลในกระเพาะอาหาร มะเร็งกระเพาะอาหาร ติ่งเนื้อในกระเพาะอาหาร เป็นต้น

ขั้นตอนการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ จะใช้กล้องเฉพาะสำหรับการตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscope) สอดผ่านเข้าไปในทวารหนัก ผ่านลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็กส่วนปลาย แพทย์จะทำการบันทึกภาพภายในอวัยวะเหล่านี้เพื่อตรวจหาความผิดปกติต่างๆ เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ ติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ โรคริดสีดวงทวาร เป็นต้น

 

โพลิพ (Polyps) ที่พบในเนื้อเยื่อกระเพาะอาหารหรือในลำไส้ใหญ่ เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดมะเร็งได้
เนื่องจากโพลิพ (Polyps) เป็นก้อนเนื้อที่เจริญเติบโตอย่างไม่ปกติจากเนื้อเยื่อของเซลล์ในเนื้อเยื่อทางเดินอาหาร

ปัจจัยที่โพลิพ (Polyps) สามารถเปลี่ยนเป็นมะเร็งได้ มีดังนี้

1.โพลิพที่มีการเปลี่ยนแปลงเซลล์ในตัวเองที่ผิดปกติ จนกระทั่งนำไปสู่การกลายเป็นมะเร็ง

2. โพลิพที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วแบบไม่ปกติ จนกระทั่งนำไปสู่การกลายเป็นมะเร็ง

โดยสรุป การตรวจสุขภาพประจำปีโดยการส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่ สามารถป้องกันการเกิดมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการพบโพลิพที่ผิดปกติในลำไส้ใหญ่และตัดออกเพื่อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา เพื่อวินิจฉัยกลุ่มโพลิพที่อาจกำลังกลายเป็นมะเร็ง หรือได้กลายเป็นมะเร็งระยะต้นแล้ว สามารถทำให้การรักษามะเร็งให้หายขาดมีโอกาสสำเร็จมากขึ้น

การเตรียมตัวก่อนส่องกล้องกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่

  • งดอาหารและน้ำตั้งแต่ 6 ชั่วโมงก่อนการส่องกล้อง
  • รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง
  • สวมเสื้อผ้าที่สะดวก

ขั้นตอนการส่องกล้องกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่

  • แพทย์จะฉีดยาชาในลำคอหรือให้ยานอนหลับ
  • แพทย์จะใส่กล้องเข้าไปในร่างกายผ่านปากหรือทวารหนัก
  • แพทย์จะทำการบันทึกภาพภายในอวัยวะต่างๆ
  • แพทย์อาจตัดชิ้นเนื้อไปตรวจทางพยาธิวิทยาเพิ่มเติม

ข้อบ่งชี้ในการส่องกล้องกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่

  • มีอาการปวดท้องเรื้อรัง
  • อาเจียนเป็นเลือด
  • ถ่ายอุจจาระมีเลือดปน
  • กลืนลำบาก
  • น้ำหนักลดไม่ทราบสาเหตุ
  • ประวัติครอบครัวเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารหรือมะเร็งลำไส้ใหญ่
  • การตรวจเลือดหรือการตรวจอุจจาระพบความผิดปกติ

การส่องกล้องกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่เป็นการตรวจที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการวินิจฉัยโรคต่างๆ ในระบบทางเดินอาหารส่วนบนและส่วนล่าง ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดก่อนและหลังการตรวจเพื่อความปลอดภัย

ข้อควรปฏิบัติก่อนการส่องกล้องกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่

  • งดอาหารและน้ำตั้งแต่ 6 ชั่วโมงก่อนการส่องกล้อง
  • รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง
  • สวมเสื้อผ้าที่สะดวก

ข้อควรปฏิบัติหลังการส่องกล้องกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่

  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • รับประทานอาหารอ่อนๆ ย่อยง่าย
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • สังเกตอาการผิดปกติ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เจ็บคอ ท้องเสีย ถ่ายอุจจาระมีเลือดปน

ข้อควรระวังในการส่องกล้องกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่

  • แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนการส่องกล้องหากมีประวัติแพ้ยาชา โรคหัวใจ โรคปอด โรคไต โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคอื่นๆ
  • ผู้ป่วยที่รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนการส่องกล้อง

ผลข้างเคียงหลังส่องกล้องกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่

  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • เจ็บคอ
  • ท้องเสีย
  • ถ่ายอุจจาระมีเลือดปน

ข้อห้ามในการส่องกล้องกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่

  • ผู้ป่วยที่มีภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง
  • ผู้ป่วยที่มีโรคหัวใจ โรคปอดตับ หรือโรคไตรุนแรง
  • ผู้ป่วยที่มีภาวะแพ้ยาชา
  • ผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดสมอง
  • ผู้ป่วยที่มีภาวะอุดตันในลำไส้ใหญ่

คำถามที่พบบ่อย

Q: การส่องกล้องกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่เจ็บไหม?

การส่องกล้องกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่อาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย เช่น รู้สึกอึดอัดในลำคอหรือลำไส้ใหญ่ แต่โดยทั่วไปจะไม่รู้สึกเจ็บมากนัก ผู้ป่วยจะได้รับยาชาหรือยานอนหลับเพื่อช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและลดความเจ็บปวด

Q: การส่องกล้องกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่ใช้เวลานานไหม?

การส่องกล้องกระเพาะอาหารใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที ส่วนการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที

Q: หลังการส่องกล้องกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่สามารถกลับบ้านได้ทันทีหรือไม่?

หลังการส่องกล้องกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่ผู้ป่วยควรพักอยู่ในโรงพยาบาลอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อเฝ้าสังเกตอาการข้างเคียง หากไม่พบอาการผิดปกติของผู้ป่วยจึงสามารถกลับบ้านได้