ส่องกล้องเย็บกระเพาะ Overstitch

ผ่าตัดลดกระเพาะแบบสลีฟ

ผ่าตัดลดกระเพาะแบบสลีฟ (Sleeve gastrectomy) เป็นการผ่าตัดเพื่อลดน้ำหนักและลดความเสี่ยงของโรคอ้วน โดยการตัดกระเพาะอาหารออกประมาณ 75-80% เหลือเป็นท่อยาวคล้ายแขนเสื้อ ส่งผลให้กระเพาะมีขนาดเล็กลง ผู้ป่วยจึงรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ช่วยลดปริมาณแคลอรีที่รับประทานเข้าไป

ขั้นตอนการผ่าตัดลดกระเพาะแบบสลีฟ

  1. แพทย์จะทำการฉีดยาชาเฉพาะที่หรือยาสลบทั่วไป
  2. แพทย์จะทำการกรีดแผลขนาดเล็กบริเวณหน้าท้องประมาณ 3-5 แผล
  3. แพทย์จะสอดกล้องจุลทรรศน์และเครื่องมือผ่าตัดเข้าไปในช่องท้องผ่านทางแผลขนาดเล็ก
  4. แพทย์จะทำการเย็บกระเพาะอาหารเป็นท่อยาวคล้ายแขนเสื้อ
  5. แพทย์จะเย็บปิดแผลด้วยไหมละลาย

ระยะเวลาในการผ่าตัดลดกระเพาะแบบสลีฟ

ระยะเวลาในการทำผ่าตัดลดกระเพาะแบบสลีฟ ประมาณ 1-2 ชั่วโมง

ข้อดีของการผ่าตัดลดกระเพาะแบบสลีฟ

  • แผลผ่าตัดขนาดเล็ก เจ็บน้อยกว่า ฟื้นตัวเร็วกว่าการผ่าตัดแบบเปิด
  • มีประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักและลดความเสี่ยงของโรคอ้วน
  • ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ภายใน 1-2 วัน

ข้อเสียของการผ่าตัดลดกระเพาะแบบสลีฟ

  • อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการแทรกซ้อนต่างๆ เช่น การติดเชื้อ แผลติดเชื้อ เลือดออก เส้นประสาทได้รับบาดเจ็บ กระเพาะอาหารทะลุ เป็นต้น
  • ผู้ป่วยอาจต้องรับประทานอาหารเสริมโปรตีนในระยะแรก
  • ผู้ป่วยอาจต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารหลังการผ่าตัด

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดลดกระเพาะแบบสลีฟ

ก่อนทำผ่าตัดลดกระเพาะแบบสลีฟ ผู้ป่วยควรเตรียมตัวดังนี้

  • ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการผ่าตัดอย่างละเอียด
  • พูดคุยกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความเหมาะสมและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
  • เตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการผ่าตัด เช่น หยุดสูบบุหรี่ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทานอาหารที่มีประโยชน์
  • ตัดแต่งขนบริเวณที่จะทำการผ่าตัด
  • ตรวจสุขภาพให้เรียบร้อย

ระยะเวลาในการพักฟื้นหลังผ่าตัดลดกระเพาะแบบสลีฟ

ระยะเวลาในการพักฟื้นหลังผ่าตัดลดกระเพาะแบบสลีฟ ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ผู้ป่วยควรงดการทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงหรือยกของหนัก หลีกเลี่ยงการโดนน้ำบริเวณแผล และควรทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด

คำแนะนำหลังผ่าตัดลดกระเพาะแบบสลีฟ

หลังผ่าตัดลดกระเพาะแบบสลีฟ ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ดังนี้

  • รับประทานอาหารในปริมาณน้อยๆ แต่บ่อยๆ
  • เลือกรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย
  • ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

หากผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ก็จะช่วยให้การผ่าตัดประสบความสำเร็จ และผู้ป่วยสามารถลดน้ำหนักและลดความเสี่ยงของโรคอ้วนได้ตามเป้าหมาย